CPU แบบ Intel Core i3, i5, i7, i9 และ X คืออะไร ?
และ มีเทคโนโลยี
ที่แตกต่างกันอย่างไร ?
หน่วยประมวลผลกลาง
หรือ ซีพียู (CPU) นั้นก็เปรียบเสมือนกับมันสมองของเครื่องคอมพิวเตอร์
ซึ่งค่ายที่คนนิยมเลือกใช้กันก็มี อินเทล (Intel) กับ
เอเอ็มดี (AMD) ซึ่งในบทความนี้เราจะมาพูดถึงการเลือก
CPU จากค่าย Intel
กันเป็นหลัก
บทความเกี่ยวกับ
Intel Core อื่นๆ
โดยทาง
Intel ได้แบ่งระดับของ CPU
ออกเป็นหลายรุ่น หลายระดับ ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์มือใหม่อาจจะเกิดความสับสนว่ามันต่างกันอย่างไร
? แล้วควรจะเลือกใช้งานรุ่นไหนดี
และแน่นอนว่าของเกือบทุกอย่างบนโลกใบนี้
"ของแพงกว่าก็ย่อมจะดีกว่าอยู่แล้ว" แต่ว่าในความเป็นจริงแล้ว
เราไม่จำเป็นต้องซื้อ CPU ที่แพงที่สุดมาใช้งานเสมอไป
มันขึ้นอยู่กับว่า คุณต้องการใช้งานคอมพิวเตอร์ในลักษณะไหนมากกว่า
หากคุณซื้อ CPU รุ่นแพงสุดมาใช้งานแค่เล่น
Facebook, แชท LINE ฯลฯ
มันก็จะดูไม่คุ้มค่า แต่ในทางกลับกันถ้าซื้อ CPU รุ่นถูกสุดมา
แต่หวังเอามาทำงานตัดต่องานออกแบบ 3 มิติ
(3D Design) ก็คงจะไม่ต่างอะไรกับการเอารถอีโคคาร์
มาขนสุกร
บทความนี้ก็เลยจะมาแนะนำคุณสมบัติ
CPU ของ Intel
ว่าแต่ละรุ่นเหมาะสมกับพฤติกรรมการใช้งานในรูปแบบไหน
โดยในบทความนี้จะขออนุญาตกล่าวถึงเฉพาะ CPU สำหรับคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปเป็นหลักนะครับ
เนื้อหาภายในบทความ
- อธิบายระดับ CPU ของ Intel Core
แบบต่างๆ
- ตัวเลขหลังชื่อ CPU
ของ Intel
หมายถึงอะไร
?
- ตัวอักษรหลังชื่อ CPU
ของ Intel
หมายถึงอะไร
?
- เทคโนโลยี Hyper-Threading
หรือ HT
คืออะไร ?
- เทคโนโลยี Turbo
Boost คืออะไร
?
- แคช (Cache) ใน CPU ก็สำคัญนะ
อธิบายระดับ CPU ของ Intel Core แบบต่างๆ
ถ้าถามว่า
CPU แบบ Core
i3, Core i5, Core i7, Core i9 และ
Core X มันต่างกันตรงไหน
คำตอบที่เรียบง่าย แต่ชัดเจนที่สุด คือ "จำนวนคอร์ (Core
Number)" ที่มีอยู่ในตัว CPU
ครับ คอร์แต่ละตัว
จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผล
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมมันถึงมีสิ่งที่เรียกว่า Dual-Core,
Quad-Core หรือ Octa-Core
ซึ่งเดิมที
Intel แบ่ง CPU
ออกมาแค่ 3 ระดับ
คือ Intel Core i3 เป็นรุ่นประหยัด,
Intel Core i5 เป็นรุ่นกลาง และ Intel
Core i7 เป็นรุ่นระดับสูง
แต่ปัจจุบันได้ซอยย่อยเยอะกว่าเดิมแล้ว อ้างอิงจากข้อมูลในปัจจุบัน (ปี ค.ศ. 2021
หรือ พ.ศ. 2564) จะแบ่งระดับออกได้
ดังต่อไปนี้
- Core i3 (4 Cores / 8 Threads) :
เป็น CPU รุ่นเริ่มต้น ที่มีราคาถูกที่สุด
เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไป เช่น ทำงานออฟฟิศ, เล่นอินเทอร์เน็ต
หรือเล่นเกมที่กราฟิกไม่ได้อลังการมากนัก
- Core i5 (6 Cores /
12 Threads) : เป็น CPU
ระดับกลาง
ที่มีประสิทธิภาพเพียงพอต่อการทำงาน
และเล่นเกมได้เกือบทุกประเภทที่ความละเอียด Full
HD (1080p) แต่ไม่แรงพอที่จะทำงานที่ใช้ซอฟต์แวร์ที่กินทรัพยากรสูง
หรือเล่นเกมที่ความละเอียดสูงได้
- Core i7
(8 Cores /16 Threads) : เป็น
CPU ระดับสูง
สามารถทำงานด้านกราฟิกอย่างการตัดต่อวีดีโอ
หรือเล่นเกมส์คุณภาพสูงที่ความละเอียดระดับ 4K ได้อย่างลื่นไหล
- Core i9 (8 Cores / 16 Threads) :
สำหรับ CPU ตระกูลนี้ เพิ่งมาในเมื่อไม่กี่ปีนี้เอง โดยเปิดตัวครั้งแรกในปี
ค.ศ. 2017 (พ.ศ.
2560) ถ้าคิดว่า Core
i7 ยังแรงไม่พอ ก็สามารถเลือกใช้งาน Core
i9 ได้ แม้จะมี 8 คอร์/16 เธรด
เท่ากัน แต่ความเร็วสัญญาณนาฬิกาของ CPU จะเร็วกว่า
- Core X : สำหรับ
CPU รุ่นนี้ ทาง Intel วางกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ใช้งานระดับสูง
ที่ต้องการความแรงระดับสูงสุด โดยไม่เกี่ยงราคา ปัจจุบันนี้ รุ่นมีอยู่คือ
- 10 Cores /
20 Threads
- 12 Cores /
24 Threads
- 14 Cores /
28 Threads
- 18 Cores /
36 Threads
หมายเหตุ :
ตอนที่เปิดตัวครั้งแรก Core
X ใช้ชื่อว่า Core i9 แต่ก็
ไม่ใช่ว่า Core i9 ทุกรุ่นจะเป็น Core
X ซึ่งในปัจจุบันนี้ Core
i9 ก็ได้รวมอยู่ใน CPU สำหรับกลุ่มลูกค้าหลักรวมกับพวก
i3, i5 และ i7
แล้ว
เรารู้จักกับระดับของ
CPU กันไปแล้ว
ต่อมามาเรียนรู้ข้อมูลของชุดตัวเลขที่อยู่ตามหลังชื่อของ CPU
กันต่อเลยดีกว่า
หลังชื่อ
CPU ที่เราเห็นของพวก Core
i3, Core i5 ฯลฯ จะมีชุดตัวเลขตามหลังห้อยท้ายมาด้วย
เป็นการบอกว่าเป็น CPU รุ่นดังกล่าวเป็นเจนเนอเรชั่นไหน
อย่างในภาพด้านล่างนี้ Core i9-11900 ค่าตัวเลข 11 หมายความว่ามันเป็น
CPU เจนเนอเรชั่น 11
ส่วนตัวเลข 900 จะบอกถึง
SKU ของสินค้า (SKU
ย่อมาจาก Stock Keeping Unit เป็นหน่วยที่ใช้จำแนกความแตกต่างของสินค้า)
ภาพจาก https://www.thailand.intel.com/content/www/th/th/products/details/processors/core/i9.html
นอกจากชื่อรุ่น
และหมายเลขแล้ว เราจะสังเกตเห็นว่าท้ายสุดยังจะมีตัวอักษรต่อท้ายตามมาอีก
พวกนี้เป็นตัวอักษรต่อท้าย (Suffixes) ที่ช่วยบอกคุณลักษณะของ
CPU นะครับ
โดยจะมีรายละเอียดดังนี้
ตัวอักษรต่อท้าย |
ความหมาย |
B
(B = Ball Grid Array (BGA)) |
เป็น
CPU แบบถาด ไม่มีพัดลม,
ฮีทซิงก์ ให้มาด้วย (ต้องซื้อเอง) |
G1-G7
(Graphics level) |
ระดับคุณภาพของกราฟิก
(เฉพาะ CPU รุ่นใหม่ที่มีการ์ดจอในตัว) |
E
(Embedded) |
แบบฝัง |
F |
จำเป็นต้องมีการ์ดจอแยก
เพื่อให้ทำงานได้ |
G |
มีการ์ดจอในตัว |
GRE |
มีคุณสมบัติ
Intel Time Coordinated Computing (Intel TCC) และ
Time-Sensitive Networking (TSN) ฝังไว้ในตัว |
H
(High performance) |
ประสิทธิภาพสูง
และปรับแต่งให้เหมาะสมกับอุปกรณ์พกพา |
HK |
ประสิทธิภาพสูง
และปรับแต่งให้เหมาะสมกับอุปกรณ์พกพา, |
HQ (High
performance, Quad core) |
ประสิทธิภาพสูง
และปรับแต่งให้เหมาะสมกับอุปกรณ์พกพา, |
K
(Unlocked) |
สามารถ
Overclock ได้ |
KF |
สามารถ
Overclock ได้,
จำเป็นต้องมีการ์ดจอแยก เพื่อให้ทำงานได้ |
S
(Special edition) |
รุ่นพิเศษ |
T |
ปรับแต่งการใช้พลังงานให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ |
U |
ปรับแต่งการใช้พลังงานให้เหมาะสมกับอุปกรณ์พกพา |
Y |
เน้นการประหยัดพลังงานสูงสุดสำหรับอุปกรณ์พกพา |
เทคโนโลยี Hyper-Threading หรือ HT คืออะไร ?
หนึ่งในจุดขายของ
CPU จาก Intel
คือเทคโนโลยี Hyper-Threading
(ปัจจุบันนี้ AMD ก็มีแล้วนะ
ใช้ชื่อว่า Simultaneous MultiThreading หรือ SMT)
ความสามารถของมัน คือ การทำให้ตัวประมวลผล 1
คอร์ จำลองตัวเองให้ทำงานเหมือน 2
คอร์ได้ ซึ่งจะช่วยให้การประมวลผลงานต่างๆ
ทำได้เร็วขึ้น
อย่างไรก็ตาม
มีเรื่องที่ต้องจำไว้ด้วยนิดนึง คือ Core แท้
ๆ นั้นทำงานได้เร็วกว่า Core ที่จำลอง
ขึ้นมา เช่น CPU แบบ 4
Cores แท้ ๆ นั้นจะทำงานได้เร็วกว่า CPU
แบบ 2 Cores ที่รองรับ Hyper-Threading
ทั้งนี้
คุณสมบัติ Hyper-Threading ไม่ได้มีทุกรุ่นนะครับ
จำเป็นต้องดูเป็นรุ่น ๆ ไป ว่ามี SKU ไหนที่รองรับบ้าง
เทคโนโลยี Turbo Boost คืออะไร ?
เบื้องหลังการทำงานของเทคโนโลยีนี้ค่อนข้างซับซ้อนซึ่งเราไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้
รู้แค่ว่ามันเร็วได้เท่าไหร่ก็พอ เวลาเราดูสเปก CPU เราจะเห็นว่ามีค่าความเร็วอยู่
2 ค่า คือ Processor
Base Frequency (ความเร็วพื้นฐาน) และ Max
Turbo Frequency (ความเร็วสูงสุด) ซึ่งค่า Processor
Base Frequency จะต่ำกว่าค่า Max
Turbo Frequency อยู่เสมอ
ในการใช้งานปกติ
CPU มักจะวิ่งอยู่ที่ความเร็วของ Processor
Base Frequency แต่หากเรามีการใช้งานที่ต้องการความเร็วสูง
มันสามารถปิดการทำงานในบางส่วนของคอร์อื่นๆ
เพื่อเร่งความเร็วให้คอร์หลักที่ใช้ทำงานได้เพื่อให้ได้ความเร็วที่เป็น Max
Turbo Frequency นั่นเอง
ภาพจาก https://www.intel.com/content/www/us/en/products/details/processors/core/x.html
นอกเหนือไปจาก
Hyper-Threading และ Turbo
Boost แล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ Core
i แต่ละรุ่นมีความแตกต่างกันก็คือ ขนาดของ Cache
ซึ่งเป็นเสมือนพื้นที่แรมส่วนตัวของ CPU
แน่นอนว่า Cache ยิ่งเยอะยิ่งดี
อย่าง Core i9 เจนฯ 11
มี Cache ถึง
24 MB เลยทีเดียว ในขณะที่ Core
i3 เจนฯ 11 มี
Cache เริ่มต้นเพียง 6
MB เท่านั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น