19 ธันวาคม 2564

รวม App ที่กิน Ram

 ก่อนอื่นขอเล่าสักนิดเกี่ยวกับการทำงานของ RAM บนมือถือว่าทำงานอย่างไร RAM หรือ Random Access Memory เป็นหน่วยความจำที่มีหน้าที่สำรองพื้นที่ไว้ให้ CPU ซึ่งเป็นหน่วยประมวลผลหลัก เพื่อจะให้ทำงานต่อระหว่างรอรับคำสั่ง ก็เหมือนกับสิ่งของอย่างเช่น ภาชนะอาหาร ที่มีหน้าที่วางรอเพื่อให้เราไปเคี้ยว เพื่อรอย่อยลงไปนั่นเอง

Apps ธนาคาร

เริ่ม Apps แรกที่หลายคนบอกว่าไม่น่าเป็นไปได้ว่าจะกิน RAM แต่ก็เป็นไปแล้วกับ Apps ธนาคาร เพราะเดี๋ยวนี้ก็มีการแจ้งเตือนและข่าวสารเยอะ ทำให้หลายครั้ง Apps เหล่านี้จะกิน RAM มากโดยไม่รู้ตัว

Line

ต่อมาจะเป็นโปรแกรมแชทยอดนิยมของคนไทยอย่าง Line ยิ่งมีการให้ข้อมูลข่าวเข้ามามาก เครื่องก็จะทำงานหนักขึ้น และยิ่งดองข้อความไม่อ่านหรือจะเก็บข้อความเก่ามากๆ นอกจากความจำจะเต็มแล้วในเวลาที่เราต้องเรียกใช้จะใช้ RAM มหาศาลเลยครับ

Facebook

สำหรับโปรแกรม Social Network ยอดนิยมอย่าง Facebook ที่มีการแสดงผลทั้งภาพและเสียง ซึ่งอาจจะไม่ได้กิน RAM เยอะ ยกเว้น ถ้าคุณเป็นพวกชอบย้อนไปดูข้อมูลเก่าเรื่อยๆ ก็อาจจะทำให้ Apps ต้องมีการจองพื้นที่ RAM เยอะขึ้นนั่นเองก็อาจจะทำให้ไม่เพียงพอต่อการใช้ของ Apps อื่นๆ จนส่งผลให้เครื่องหน่วงได้

Apps เกมต่างๆ

ถือว่าเป็นตัวกิน RAM ชั้นดีเลยครับ ยิ่งคุณออกจากเกมแล้วไม่ปิดเนี่ย จะยิ่งมีการใช้ RAM อยู่เรื่องๆ จนสุดท้ายมันอาจจะส่งให้ความจำภายในของเครื่องคุณหมดได้เช่นเดียวกัน

Apps แต่งภาพ

นอกจาก Apps เล่นเกมแล้ว ยังมีอีก Apps ที่ทำงานกับเครื่องเยอะ นั่นคือ Apps แต่งภาพ เมื่อคุณเปิดขึ้นมาก็จะมีการจอง RAM ไว้และระหว่างทำงานก็จะมีการใช้งานอยู่ หากไม่ได้ปิดก็จะมีผลกับ Apps อื่นอาจจะทำให้เกิดอาการเครื่องหน่วงได้

ส่วนวิธีแก้ปัญหานั้นง่ายมากครับ ลองทำตามได้ดังนี้

  • ลอง Restart มือถือของคุณสำหรับ Android ให้กดค้างแล้วสไลด์ไปที่ปุ่ม Restart
  • ลองปิดโปรแกรม โดยกดปุ่มสี่เหลี่ยมหรือปัดขึ้นเล็กน้อยแล้วกด ปิดทั้งหมด หรือ Close All
  • ลอง Wipe Cache (ในขั้นตอนนี้จะกดยากเล็กน้อย ต้องกดทุกปุ่มทั้ง Power, และลดเสียง
  • สำหรับ iPhone ลองปิดเครื่องแล้วเปิดใหม่
  • ลองปิด Background Apps บางโปรแกรมที่ไม่ได้ใช้จะดีที่สุด
  • หมั่น Update Apps อยู่เสมอ เพราะทุกครั้งที่มีการอัปเดตอาจจะมีการแก้ปัญหาของ Apps ในเรื่องการใช้ RAM ครับ

01 ธันวาคม 2564

การถอน McAfee

 McAfee มีชื่อเสียงในเรื่องถังขยะที่ค่อนข้างดีในหมู่ชุมชนพีซีและอย่างถูกต้อง McAfee ช้าใช้หน่วยความจำจำนวนมากเพื่อสิ่งที่ง่ายที่สุดใช้ CPU ไม่เหมือนใครและด้วยเหตุผลอะไรก็ตามพื้นที่ดิสก์เกือบ 1GB นอกจากทั้งหมดนี้สิ่งที่ทำให้ McAfee น่ารำคาญก็คือมันมักจะทำงานเหมือนแอดแวร์และทำให้ยากต่อการถอนการติดตั้งจาก Windows 10

ถอนการติดตั้ง mcafee บน windows 10 image 01

โดยทั่วไปแล้วคุณจะพบ McAfee บนพีซีที่สร้างไว้ล่วงหน้าที่ผู้ผลิต OEM และพีซีติดตั้งรุ่นทดลองหรือรุ่นที่จ่ายเงิน เมื่อคุณถึงเวลาที่กำหนด McAfee จะเริ่ม bugging ให้คุณอัปเกรดหรือต่ออายุผลิตภัณฑ์ ในโลกที่ Windows Defender ทำได้ค่อนข้างดีและมีซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสฟรีอื่น ๆ มากมายเช่น Avast และ AVG ไม่มีเหตุผลที่จะใช้ McAfee. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Microsoft กำลังปรับปรุงอย่างแข็งขันWindows Defender ที่มีคุณสมบัติใหม่เช่น Windows Defender Sandbox, การป้องกัน Ransomware เป็นต้นดังนั้นหากคุณต้องการที่จะลบ McAfee ออกจากระบบ Windows ของคุณอย่างสมบูรณ์มีวิธีถอนการติดตั้ง McAfee บน Windows 10

มีสองวิธีคือ ลบ McAfee จาก Windows 10 วิธีแรกคือการใช้แผงควบคุมและวิธีที่สองใช้เครื่องมือลบ McAfee ก่อนอื่นให้ลองวิธีแรก หากคุณคิดว่า McAfee ไม่ได้ถูกถอนการติดตั้งอย่างถูกต้องหรือถ้าคุณต้องการที่จะลบผลิตภัณฑ์ McAfee ทั้งหมดในคราวเดียวจากระบบของคุณให้ทำตามวิธีที่สอง

ข้ามไปที่:

  1. วิธีการด้วยตนเอง
  2. เครื่องมือวิธีการลบ McAfee

ฉันแสดงสิ่งนี้ใน Windows 10 แต่วิธีการด้านล่างใช้ได้กับ Windows 7 และ Windows 8

1. ถอนการติดตั้ง McAfee บน Windows 10 จากแผงควบคุม

Advertisement
การถอนการติดตั้ง McAfee ได้รับการปรับปรุงเมื่อเวลาผ่านไป เช่นเดียวกับซอฟต์แวร์ใด ๆ ที่ติดตั้งบน Windows คุณสามารถถอนการติดตั้ง McAfee จากแผงควบคุม ทำตามขั้นตอนด้านล่างเพื่อถอนการติดตั้ง McAfee บน Windows 10 ผ่านทางแผงควบคุม

1. ค้นหาแผงควบคุมในเมนูเริ่มแล้วเปิด

2. ในแผงควบคุมให้คลิกที่ตัวเลือก "โปรแกรมและคุณสมบัติ" หากคุณไม่พบตัวเลือกตรวจสอบให้แน่ใจว่ามุมมองจากถูกตั้งค่าเป็น "ไอคอนขนาดใหญ่"

ถอนการติดตั้ง mcafee บน windows 10 image 02

3. ที่นี่คุณสามารถถอนการติดตั้งโปรแกรมได้ ค้นหาโปรแกรมป้องกันไวรัสของ McAfee คลิกขวาแล้วเลือกตัวเลือก "ถอนการติดตั้ง" ในกรณีของฉันโปรแกรมป้องกันไวรัสของ McAfee เรียกว่า McAfee LiveSafe

ถอนการติดตั้ง mcafee บน windows 10 image 03

4 ในหน้าจอถอนการติดตั้ง McAfee ให้เลือกช่องทำเครื่องหมาย "McAfee LiveSafe" และ "ลบไฟล์ทั้งหมดสำหรับโปรแกรมนี้" แล้วคลิกที่ปุ่ม "ดำเนินการต่อ" หากคุณดูที่ด้านล่างของหน้าจอคุณจะเห็นว่า McAfee เป็น ไม่ ถอนการติดตั้งแอปพลิเคชัน Web Advisor เราจำเป็นต้องถอนการติดตั้งแยกต่างหาก

ถอนการติดตั้ง mcafee บน windows 10 image 04

5. ในหน้าต่างคำเตือนนี้เพียงคลิกที่ปุ่ม "ดำเนินการต่อ"

ถอนการติดตั้ง mcafee บน windows 10 image 05

6. ทันทีที่คุณคลิกที่ปุ่มดำเนินการต่อ McAfee จะเริ่มถอนการติดตั้งตัวเอง อาจต้องใช้เวลาพอสมควรในการถอนการติดตั้ง McAfee บน Windows 10 อย่างเต็มที่ดังนั้นให้รอและรอ

ถอนการติดตั้ง mcafee บน windows 10 image 06

7. ที่นี่คลิกที่ปุ่ม "ไม่ขอบคุณ"

ถอนการติดตั้ง mcafee บน windows 10 image 07

8. คลิกที่ปุ่ม "เริ่มใหม่ตอนนี้" เพื่อเสร็จสิ้นกระบวนการถอนการติดตั้ง McAfee

ถอนการติดตั้ง mcafee บน windows 10 image 08

1.1 ถอนการติดตั้ง McAfee WebAdvisor

9 จำไว้ว่าเรายังคงต้องลบแอปพลิเคชัน McAfee Web Advisor ด้วย ดังนั้นหลังจากรีสตาร์ทระบบไปที่ "แผงควบคุม -> โปรแกรมและคุณสมบัติ" คลิกขวาที่ McAfee Web Advisor และเลือก "ถอนการติดตั้ง"

Advertisement
ถอนการติดตั้ง mcafee บน windows 10 image 09

10. McAfee สามารถแสดงได้ ข้อมูลเท็จ เพื่อให้คุณใช้งานแอปพลิเคชัน ในกรณีของฉันมันบอกฉันว่ามันได้ป้องกันฉันจากการขโมยข้อมูลประจำตัวและการขโมยรหัสผ่าน ซึ่งเป็นเท็จ เพียงคลิกที่ปุ่ม "ไม่ขอบคุณเพียงถอนการติดตั้ง" ทางด้านซ้าย ไม่ใช่ปุ่มสีน้ำเงินขนาดใหญ่.

ถอนการติดตั้ง mcafee บน windows 10 image 10

11. ทันทีที่คุณคลิกที่ปุ่มแอปพลิเคชันจะถูกถอนการติดตั้งอย่างสมบูรณ์

ถอนการติดตั้ง mcafee บน windows 10 image 11

12. เพียงเพื่อให้แน่ใจว่า McAfee ถอนการติดตั้งอย่างสมบูรณ์ให้รีสตาร์ทระบบของคุณ

ถอนการติดตั้ง mcafee บน windows 10 image 12

13. แม้หลังจากถอนการติดตั้ง McAfee แล้วจะยังมีไฟล์ที่เหลืออยู่ในโฟลเดอร์ Program Files ดังนั้นหลังจากรีสตาร์ทให้เปิด File Explorer ไปที่ C:Program Filesเลือก McAfee และกดปุ่ม Delete บนคีย์บอร์ดของคุณ

ถอนการติดตั้ง mcafee บน windows 10 image 13

14. หากคุณเห็นหน้าต่างคำเตือนเพียงคลิกที่ปุ่ม "ดำเนินการต่อ" เพื่อลบโฟลเดอร์ McAfee ใน Windows 10

ถอนการติดตั้ง mcafee บน windows 10 image 14

แค่นั้นแหละ. คุณถอนการติดตั้ง McAfee บน Windows 10 สำเร็จแล้วหากคุณไม่แน่ใจหรือไม่สามารถถอนการติดตั้ง McAfee ได้อย่างสมบูรณ์ให้ทำตามวิธีที่สองซึ่งใช้เครื่องมือกำจัด McAfee

2. ลบ McAfee บน Windows 10 โดยใช้เครื่องมือกำจัด McAfee

เช่นเดียวกับซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสหลายตัวมันอาจเป็นเรื่องยากลบ McAfee บน Windows 10 เนื่องจากปัญหาการถอนการติดตั้งหรือการถอนการติดตั้งที่ไม่สะอาด ในสถานการณ์เหล่านั้นคุณสามารถใช้เครื่องมือลบ McAfee เพื่อถอนการติดตั้ง McAfee บน Windows 10 อันที่จริงเครื่องมือลบ McAfee ทำให้การลบผลิตภัณฑ์ McAfee ทั้งหมดออกจากคอมพิวเตอร์ของคุณได้ง่ายในครั้งเดียว ให้ฉันแสดงให้คุณเห็นว่า

1. ก่อน มานี่ และดาวน์โหลดเครื่องมือลบ McAfee ชื่อ McAfee Consumer Product Tool (MCPR) เมื่อดาวน์โหลดเสร็จสิ้นให้ดับเบิลคลิกที่ไฟล์เพื่อเรียกใช้แอปพลิเคชัน

Advertisement
ถอนการติดตั้ง mcafee บน windows 10 image 15

2. ในหน้าจอนี้คลิกที่ปุ่ม "ถัดไป"

ถอนการติดตั้ง mcafee บน windows 10 image 16

3. ด้วยเหตุผลบางประการ (ความปลอดภัย?) คุณต้องป้อน captcha ดังนั้นป้อน captcha ที่แสดงและคลิก "ถัดไป"

ถอนการติดตั้ง mcafee บน windows 10 image 17

4. ตอนนี้นั่งรอ เครื่องมือลบ McAfee จะสแกนระบบของคุณสำหรับผลิตภัณฑ์ McAfee ใด ๆ และถอนการติดตั้งโดยอัตโนมัติ อาจใช้เวลาสักครู่จึงจะเสร็จสิ้นกระบวนการ

ถอนการติดตั้ง mcafee บน windows 10 image 18

5. เมื่อเสร็จแล้วให้คลิกที่ปุ่ม "รีสตาร์ท" เพื่อรีสตาร์ท Windows 10 เพื่อลบไฟล์ McAfee ที่เหลือ

ถอนการติดตั้ง mcafee บน windows 10 image 19

นั่นคือทั้งหมดที่ เครื่องมือลบจะลบไฟล์ที่เหลือจากโฟลเดอร์ไฟล์โปรแกรมในไดรฟ์ C ดังนั้นคุณไม่ต้องกังวลกับการลบมันด้วยตนเอง

หวังว่าจะช่วย ทำตามสองวิธีด้านบนเพื่อถอนการติดตั้ง McAfee บน Windows 10 และแบ่งปันประสบการณ์ของคุณเกี่ยวกับการใช้หรือลบ McAfee บน Windows 10

หากคุณต้องการถอนการติดตั้งแอพสโตร์ที่ติดตั้งไว้ล่วงหน้าให้ทำตามวิธีการถอนการติดตั้งแอพสโตร์ใน Windows 10

19 พฤศจิกายน 2564

onedrive ใช้ทำอะไร

 

Onedrive ใช้งานอะไรได้บ้าง เก็บข้อมูลฟรี Hotmail และ Outlook

 September 29, 2019 Modified date: October 9, 2021

เมื่อเราสมัคร Hotmail – Outlook แล้วอย่างแรกที่เราได้ คือ พื้นเก็บข้อมูลออนไลน์ จำนวน 5Gb ซึ่งก็คือ OneDrive นั้นเอง โดยเราสามารถอัพโหลดไฟล์ต่างๆ เช่น รูปภาพ, ไฟล์เอกสารต่างๆ, เพลง, วีดีโอ ลงสู่พื้นเก็บข้อมูลตัวนี้

รวบรวม การใช้งาน Onedrive อย่างละเอียด

OneDrive คล้ายกับมีแฮนดี้ไดร์ฟแบบออนไลน์ ที่ฝากเก็บไว้บนอินเตอร์นั้นเอง โดยไม่ต้องพก External Harddisk ดังนั้น ความสามารถเบื้องต้น OneDrive สามารถอัพโหลดข้อมูลเก็บไว้ การแชร์ข้อมูลไปให้เพื่อน และสร้างไฟล์เอกสาร Microsoft มาดูการใช้งานดังนี้

1. การอัพโหลดข้อมูล

การเข้าเราสามารถได้สองทางคือผ่านทางหน้าอีเมล์ หรือจะล็อคอินเข้าหน้าเวโดยตรงก็ได้>>ลิงนี้เลย แต่วันนี้เราจะสอนวิธีแบบเข้าผ่านอีเมล์ของ hotmail และ Outlook แล้วกัน

·  เริ่มจากล็อคอินเข้า hotmail และ Outlook กันปกติเหมือนตอนเราเข้าเช็คอีเมล์ จากคลิกจุดปะหกจุดด้านบน แล้วคลิกเลือกเมนู Onedrive 

วิธีเปิดใช้ OneDrive อยูที่อีเมล Hotmail

·  ก่อนอัพโหลดควรสร้างโฟลเดอร์เอาไว้เก็บไฟล์ซะก่อน โดยไปที่เมนู New>Folder

Onedrive สร้างโฟลเดอร์ พื้นที่เก็บไฟล์งาน

·  จากนั้นตั้งชื่อโฟลเดอร์จะได้ไหมลงว่าอัพลงที่ไหน

·  จากนั้นก็ทำการอัพโหลดไฟล์ลงในโฟลเดอร์ที่เราสร้างเลย โดยกดปุ่มอัพโหลด แล้วเลือกไฟล์ หรือจะทั้งโฟลเดอร์ที่ต้องการจากคอมเราส่งไดร์ออนไลน์

อัพโหลดไฟล์เก็บไว้ที่ Onedrive

·  เป็นอันเสร็จการอัพโหลดไฟล์ของเราก็พร้อมใช้งานบนออลไลน์ ถ้าเป็นไฟล์เองกสารพวก word, excel ก็สามารถพิมพ์งาน หรือแก้ไขงานได้ด้วย

2. การแชร์

เช่นกันกับการแชร์ไฟล์เราสามารถแชร์ไฟล์เฉพาะไฟล์ที่ต้องการ หรือมัดรวมแชร์ทั้งโฟลเดอร์ให้เพื่อนไปเปิดดูเปิดอ่านเปิดเลือกเอาเอง โดยมีวิธีดังนี้

·  เริ่มจากคลิกขวาที่ไฟล์ หรือโฟลเดอร์ที่ต้องการแชร์ จากนั้น กดปุ่ม Share

การแชร์ไฟล์ Onedrive

·  เมื่อกดปุ่ม Share แล้วเราจะสามารถเลือกแชร์ได้สองทางคือ ทางที่ 1 แชร์ไปยังอีเมล์ที่ต้องการส่งให้ กับ ทางที่ 2 คือก็อปลิง URL เอาไปส่งให้เพื่อนเปิดอ่านเอาเอง

·  ซึ่งแบบส่งลิง URL จะสามารถเอาส่งตามแพลทฟอร์มต่างๆ อย่างส่ง ข้อความ SMS, ส่งทางแชท facebook หรือ Line ก็ตามสะดวกเลย

3. สร้างไฟล์เอกสาร Microsoft

ใน Onedrive ยังสามารถสร้างไฟล์ หรือแก้ไขไฟล์เอกสารออนไลน์ได้เลยทั้งไฟล์ Microsoft word, excel และPowerpoint

·  เลือกเมนู New>ตามด้วยไฟล์เอกสารที่เราต้องการสร้าง

·  เมื่อสร้างไฟล์ขึ้นมาเราสามารถพิมพ์งาน ปรับแต่งตัวอักษร ใส่ตาราง หรือแม้กระทั้งอัพรูปจากในคอมใส่เข้าไปก็ได้ เมื่อพิมพ์เสร็จแล้วไฟล์จะถูกเซฟอัติโนมัติด้วย

สร้างไฟล์เอกสาร Microsoft ใน Onedrive

·  เช่นเดียวกันกับการสร้างไฟล์ excel เราสามารถทำตารางใส่ข้อมูลใส่กราฟใส่รูปต่างๆ ได้เช่นกัน

·  ไฟล์ก็จะถูกเซฟอัติโนมัติเก็บไว้ที่โฟรเดอร์ที่เราสร้างไว้นั้นเอง ซึ่งไฟล์สามารถเปิดได้ทั้งบนคอม และมือถือผ่านหน้าเวป หรือแอพ

ไฟล์ก็จะถูก Save อัตโนมัติ

เมื่อเรามีอีเมล Hotmail และ Outlook สามารถใช้บริการหลายอย่างได้ฟรี ทำให้เราได้จัดทำ คู่มือ OneDrive เพื่อจะได้รู้การใช้งาน OneDrive ขั้นพื้นฐาน

ใครที่สงสัยว่า OneDrive ใช้ยังไง บทความนี้น่าจะพอให้รู้ถึงความสารถและการทำงานของวันไดรฟ์

การ Activate Windows10

 

โหลด Windows 10 Digital Activation Program ตัว Activate Win 10/11 แบบ Digital License ให้กลายเป็นของแท้ | 1.4 MB

W10 Digital Activation คืออะไร

W10 Digital Activation Program คือเครื่องมือจาก Ratiborus ที่สามารถเปิดใช้งาน Windows 11/10 โดยใช้ digital license ตัว W10 Digital Activation Program จะแทนที่ kms license โดยอัตโนมัติหากมีอยู่แล้ว W10 Digital Activation Program ไม่ได้ติดตั้งหรือบันทึกไฟล์สำหรับการเปิดใช้งานในระบบเลย ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องตั้งข้อยกเว้นในโปรแกรมป้องกันไวรัส เพียงแค่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต (ลงชื่อเข้าใช้ Windows ด้วย Microsoft Account ก่อนใช้) โดยใช้เครื่องมือนี้เพื่อเปิดใช้งานระบบปฏิบัติการของคุณทันที ครั้งต่อไปที่คุณเชื่อมต่อหากคุณเข้าถึงอินเทอร์เน็ตระบบจะเปิดใช้งานโดยอัตโนมัติ

เมื่อติดตั้ง Windows 10 ใหม่ไม่จำเป็นต้องเรียกใช้เครื่องมือนี้อีกครั้ง และด้วยการที่มันแอคติเวทออนไลน์ครั้งแรกแล้ว MS Server จะจดจำW10 Digital Activation Program และเปิดใช้งานระบบปฏิบัติการโดยอัตโนมัติ

วิธีใช้ W10 Digital Activation

*รองรับเฉพาะ Windows 10 อาจจะลองใช้กับ Windows 11 ได้เช่นกัน, ลงชื่อเข้าใช้ Windows ด้วย Microsoft Account ก่อนใช้

  1. เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
  2. รันไฟล์แบบ Run as admin
  3. กด Activate Windows 10

26 ตุลาคม 2564

การแก้ไข print spooler

 print spooler ช่วยให้คอมพิวเตอร์ Windows ของคุณรับส่งข้อมูลกับพรินเตอร์ได้ และสั่งพริ้นท์งานที่รออยู่ในคิว ถ้ามีข้อความ error ขึ้นเตือนเรื่อง print spooler แสดงว่าอาจจะเสีย หรือไม่สามารถสื่อสารกับโปรแกรมอื่นได้อย่างถูกต้อง ให้ลองแก้ไขด้วยหนึ่งในวิธีต่อไปนี้ดูก่อน ถ้าไม่ได้ผลค่อยลองวิธีอื่นต่อไป 

วิธีการ1
เปลี่ยนค่า Properties ของ Print Spooler

  1. ตั้งชื่อภาพ Fix a Print Spooler Step 1
    1
    เปิด properties ของ printer spooler. แค่ปรับเปลี่ยนตรงนี้อาจแก้ปัญหา print spooler ไม่ได้ทั้งหมด แต่ถือเป็นจุดที่ควรสำรวจและแก้ไขเป็นที่แรก วิธีนี้ใช้ได้กับ Windows ทุกเวอร์ชั่น ตั้งแต่ XP เป็นต้นมา (แต่เวอร์ชั่นก่อนหน้าก็อาจใช้ได้เหมือนกัน)
    • กดปุ่ม Windows + R เพื่อเปิดหน้าต่าง Run พิมพ์ services.msc แล้วกด  Enter จากนั้นดับเบิลคลิก Print Spooler
    • หรือคลิก Start → Control Panel → Administrative Tools → Services → Print Spooler
  2. ตั้งชื่อภาพ Fix a Print Spooler Step 2
    2
    กด stop และ start. ปุ่ม Stop กับ Start จะอยู่ที่ tab General ในหน้าต่าง Print Spooler Properties ที่คุณเพิ่งเปิด บาง error แค่กด stop แล้ว start print spooler ใหม่ก็หายแล้ว ให้เปิดหน้าต่างนี้ทิ้งไว้ก่อน เพราะเดี๋ยวต้องมาปรับแต่งอะไรต่อ
    ตั้งชื่อภาพ Fix a Print Spooler Step 3
  3. 3
    ตั้งค่าให้ Spooler เริ่มทำงาน (start) อัตโนมัติ. เลือกเมนูที่ขยายลงมาต่อจาก "Startup type" เลือก Automatic แล้ว spooler จะเริ่มทำงานทันทีที่เปิดคอม สั่งพริ้นท์อะไรก็ทันใจ เสร็จแล้วกด Apply ที่มุมขวาล่างเพื่อเซฟค่าใหม่ได้เลย[1]
  4. ตั้งชื่อภาพ Fix a Print Spooler Step 4
    4
    เปลี่ยน recovery options. ต่อมาให้คลิก tab Recovery หรือก็คือวิธีที่ spooler แก้ปัญหาเมื่อตัวเองเกิด error ถ้าลองปรับเปลี่ยนค่าต่างๆ นิดหน่อย จะทำให้ spooler แก้ไขปัญหาที่เกิดได้เร็วขึ้น ไม่ค้างบ่อยๆ ค่าต่างๆ ที่ควรปรับเปลี่ยนก็เช่น [2]
    • First failure: Restart the Service (เกิด error ครั้งแรกให้รีสตาร์ทตัวเอง)
    • Second failure: Restart the Service (เกิด error ครั้งที่ 2 ให้รีสตาร์ทตัวเอง)
    • Subsequent failures: Take No Action (เกิด error ครั้งต่อมาจะไม่แก้ไขตัวเอง)
    • Reset fail count after: 1 days (รีเซ็ตการนับจำนวนครั้งที่เกิด error หลังผ่านไป 1 วัน)
    • Restart service after: 1 minutes (รีสตาร์ทตัวเองหลังค้าง 1 นาที)
    • พอตั้งค่าเรียบร้อยแล้ว ให้คลิก Apply ได้เลย
  5. ตั้งชื่อภาพ Fix a Print Spooler Step 5
    5
    ห้ามไม่ให้ติดต่อกับ desktop. คลิก tab Log On ถ้าช่องข้าง "Allow interaction with desktop" ติ๊กไว้ ก็ให้เอาออก[3] ถ้าติ๊กไว้แบบนั้นอาจเกิดปัญหา และปกติค่านี้ก็ไม่จำเป็นสำหรับเครื่องรุ่นใหม่ๆ อยู่แล้ว[4] เสร็จแล้วอย่าลืมคลิก Apply
  6. ตั้งชื่อภาพ Fix a Print Spooler Step 6
    6
    รีสตาร์ทแล้วลองใหม่. คราวนี้ก็ลองพริ้นท์ใหม่ได้แล้ว อาจต้องปิดหน้าต่าง Properties และ/หรือรีสตาร์ทคอมก่อน ค่าใหม่ถึงจะมีผล แต่ถ้าลองใหม่แล้วยังมีข้อความ error ให้ทำขั้นตอนต่อไป
  7. ตั้งชื่อภาพ Fix a Print Spooler Step 7
    7
    เช็ค dependencies. กลับไปที่หน้าต่าง Print Spooler Properties ตามวิธีการที่บอกด้านบน (ถ้าปิดไปแล้ว) คลิก tab Dependencies แล้วดูกรอบบนที่เขียนว่า "This service depends on the following system components."[5] ให้สำรวจสถานะของแต่ละ service ในกรอบนี้
    • กลับไปที่หน้าต่าง Services ถ้าปิดไปแล้วให้เปิดอีกครั้งตามวิธีการในขั้นตอนแรกของวิธีการนี้
    • หาชื่อ services ที่คุณเห็นในกรอบ Dependencies ด้านบน ที่อยู่ล่างคอลัมน์ Name
    • เช็คให้ชัวร์ ว่ามีคำว่า "Started" ในคอลัมน์ Status ของไฟล์นั้น
    • เช็คให้ชัวร์ ว่ามีคำว่า "Automatic" ในคอลัมน์ Startup Type ของไฟล์นั้น
    • ถ้าหนึ่งใน services ที่คุณหา ไม่มี ค่าดังกล่าว ให้ Stop แล้ว Start service นั้น วิธีนี้ใช้กับไอคอนในหน้าต่าง Services ได้ หรือจะดับเบิลคลิกที่ชื่อ service แล้วคลิกปุ่มในหน้าต่าง Properties ก็ได้
    • ถ้าไอคอน Stop กับ Start คลิกไม่ได้ หรือคลิกแล้วค่าไม่เปลี่ยนเป็น "Started" กับ "Automatic" ให้ลองลงไดรฟ์เวอร์ใหม่ตามวิธี "อัพเดทไดรฟ์เวอร์ของพรินเตอร์" ด้านล่าง [6] ถ้ายังไม่ได้ผล ให้ศึกษาวิธีแก้ไขปัญหาของ service นั้นโดยเฉพาะ เช่น การแก้ไข registry แบบซับซ้อนกว่า [7]

วิธีการ2
รีเซ็ตพรินเตอร์

  1. ตั้งชื่อภาพ Fix a Print Spooler Step 8
    1
    ล้าง Print Queue. ปกติทำแล้วมักหาย error และถือเป็นขั้นตอนบังคับก่อนทำขั้นตอนอื่นข้างล่างต่อไป[8]
    • เปิดหน้าต่าง Services (กดปุ่ม Windows + R พิมพ์ services.msc แล้วกด enter)
    • เลือก Print Spooler แล้วคลิกไอคอน Stop ถ้าไม่ได้ stop อยู่แล้ว
    • ไปที่ C:\Windows\system32\spool\PRINTERS แล้วเปิดไฟล์นี้ อาจจะต้องตั้งค่าให้แสดงไฟล์ที่ถูกซ่อนไว้ และ/หรือใส่รหัสผ่านแอดมินก่อน
    • ลบทุกอย่างในโฟลเดอร์ แต่ ห้ามลบ ตัวโฟลเดอร์ PRINTERS เอง ซึ่งจะเป็นการลบทุกคำสั่งพริ้นท์ที่ค้างอยู่ เพราะงั้นต้องเช็คให้ชัวร์ว่าไม่ได้มีใครใน network เดียวกันกำลังใช้งานพรินเตอร์
    • กลับไปที่หน้าต่าง Services เลือก Print Spooler แล้วคลิก Start
  2. ตั้งชื่อภาพ Fix a Print Spooler Step 9
    2
    อัพเดทไดรฟ์เวอร์ของพรินเตอร์. บางทีไดรฟ์เวอร์ของพรินเตอร์อาจจะเสียหาย เลยทำให้ spooler มีปัญหา เพราะข้อมูลที่ได้จากพรินเตอร์นั้นผิดพลาด ให้คุณลองอัพเดทไดรฟ์เวอร์ของพรินเตอร์ดูก่อน ถ้าไม่ได้ช่วยอะไร ก็ค่อยทำขั้นตอนต่อไป
  3. ตั้งชื่อภาพ Fix a Print Spooler Step 10
    3
    ลบพรินเตอร์. บางทีอาจเป็นที่โปรแกรมของพรินเตอร์ ขั้นตอนนี้จะลบพรินเตอร์อย่างรวดเร็ว ให้คุณได้ติดตั้งใหม่แต่ต้น [9]
    • ถอดปลั๊กพรินเตอร์ หรือตัดการเชื่อมต่อกับพรินเตอร์ไร้สาย
    • ค้นหา "Devices and Printers" ในแถบค้นหา แล้วคลิกเพื่อเปิด
    • คลิกขวาที่ไอคอนของพรินเตอร์ที่ใช้งานไม่ได้ แล้วคลิก "Delete" ในเมนูที่ขยายลงมา
  4. ตั้งชื่อภาพ Fix a Print Spooler Step 11
    4
    ลบไดรฟ์เวอร์ของพรินเตอร์. ต้องลงไดรฟ์เวอร์แยกอีกที ตอนนี้ให้เปิดหน้าต่าง Devices and Printers ทิ้งไว้ก่อน แล้วปรับเปลี่ยนค่าดังนี้
    • คลิกที่ไอคอนพรินเตอร์อื่น แล้วคลิก Print Server Properties ที่แถบเมนูด้านบน
    • ในหน้าต่าง Properties ให้คลิก tab Drivers
    • เลือกไดรฟ์เวอร์ของพรินเตอร์ที่ลบไป แล้วคลิก Remove
    • ถ้าเลือก "Remove driver and driver package" แพ็คเกจติดตั้งทั้งหมดจะถูกลบไปด้วย ให้เลือกข้อนี้เฉพาะกรณีที่มีแพ็คเกจติดตั้งใหม่ของไดรฟ์เวอร์นั้นแล้ว
  5. ตั้งชื่อภาพ Fix a Print Spooler Step 12
    5
    ติดตั้งพรินเตอร์กลับมา. เสียบพรินเตอร์คืน แล้วทำตามขั้นตอนที่ปรากฏในหน้าจอเพื่อติดตั้งพรินเตอร์ใหม่อีกรอบ ถ้าลบ driver package ไปแล้ว ก็ต้องดาวน์โหลดมาใหม่จากเว็บยี่ห้อพรินเตอร์ที่ใช้
  6. ตั้งชื่อภาพ Fix a Print Spooler Step 13
    6
    ลบพรินเตอร์ที่โผล่มาใหม่ด้วย Print Management. ถ้าพรินเตอร์หรือไดรฟ์เวอร์ชอบโผล่มาใหม่ทั้งที่ลบไปแล้ว หรือถอนการติดตั้งไม่ได้ เครื่องมือนี้ก็ถือว่าช่วยได้ เป็นโปรแกรมที่ติดมากับ Windows 7 Pro/Ultimate/Enterprise และ Windows 8 Pro/Enterprise เท่านั้น วิธีใช้ก็คือ[10] [11]
    • ไปที่ Start → Administrative Tools → Print Management แล้วล็อกอินด้วยรหัสผ่านแอดมิน ถ้าหาไม่เจอ ให้ลองเข้า Start → Control Panel → System & Security → Administrative Tools → Print Management
    • ในกรอบซ้ายมือ ให้คลิกลูกศรข้าง Print Servers เพื่อขยายรายชื่อ
    • คลิกลูกศรข้างคอมของคุณ (เขียนว่า Local)
  7. ตั้งชื่อภาพ Fix a Print Spooler Step 14
    7
    คลิก Printers ในกรอบซ้ายมือ. หาพรินเตอร์ที่มีปัญหาในกรอบขวา แล้วคลิกขวาเลย จากนั้นเลือก "Delete"
    • คลิก Drivers ในกรอบซ้ายมือ. คลิกขวาที่แต่ละไดรฟ์เวอร์ของพรินเตอร์นั้น แล้วเลือก "Delete" เพื่อถอนการติดตั้ง (ถ้ามีพรินเตอร์อื่นใช้อยู่ ก็ถอนการติดตั้งไม่ได้)
    • หรือคลิกขวาที่ไดรฟ์เวอร์ แล้วเลือก "Remove Driver Package" เพื่อถอนการติดตั้งไดรฟ์เวอร์และลบแพ็คเกจติดตั้ง บางทีขั้นตอนนี้ก็จำเป็น แต่คุณจะติดตั้งไดรฟ์เวอร์ใหม่ไม่ได้จนกว่าจะดาวน์โหลดแพ็คเกจติดตั้งใหม่มา
    • เชื่อมต่อพรินเตอร์เพื่อติดตั้งใหม่ และดาวน์โหลดไดรฟ์เวอร์ใหม่ด้วย ถ้าลบแพ็คเกจไดรฟ์เวอร์ไปแล้ว

วิธีการ3
สแกนไฟล์ระบบ

  1. ตั้งชื่อภาพ Fix a Print Spooler Step 15
    1
    รีสตาร์ทคอมเข้า Safe Mode. ไม่จำเป็นเสมอไป แต่จะทำให้สแกนได้มีประสิทธิภาพกว่าเดิม
  2. ตั้งชื่อภาพ Fix a Print Spooler Step 16
    2
    เปิด Command Prompt โดยใช้ administrator privileges. ค้นหา "Command Prompt" ในแถบค้นหา คลิกขวา Command Prompt แล้วเลือก "Run as administrator" จากนั้นใส่รหัสผ่านแอดมิน
  3. ตั้งชื่อภาพ Fix a Print Spooler Step 17
    3
    ใส่คำสั่ง scan. ในหน้าต่างที่เปิดมา ให้พิมพ์ sfc /scannow แล้วกด  Enter ให้พิมพ์แบบที่เห็นเป๊ะๆ เป็นการบอก System File Checker ให้สแกนไฟล์หาความเสียหาย และพยายามซ่อมแซม
    • จะเป็นการย้อนไฟล์ระบบกลับค่า default ถ้าคุณปรับเปลี่ยนอะไรไว้ ให้ backup ข้อมูลในคอมไว้ก่อน แล้วค่อยเริ่มสแกน[12]
  4. ตั้งชื่อภาพ Fix a Print Spooler Step 18
    4
    รอจนสแกนเสร็จ. เปิดหน้าต่าง Command Prompt ทิ้งไว้ระหว่างสแกนไฟล์ แล้วอ่านข้อความหลังเสร็จสิ้น
    • ถ้าขึ้นว่า "Windows Resource Protection found corrupt files and successfully repaired them" ให้รีสตาร์ทคอมเข้าโหมดปกติ แล้วลองสั่งพริ้นท์ดู
    • ถ้าขึ้นว่า "Windows Resource Protection found corrupt files but was unable to fix some of them" ให้ทำขั้นตอนต่อไป
    • ถ้าขึ้นข้อความอื่น ให้ลองแก้ไขด้วยวิธีการอื่นต่อไป
  5. ตั้งชื่อภาพ Fix a Print Spooler Step 19
    5
    หาไฟล์ที่เสีย. ถ้าสแกนแล้วเจอปัญหาแต่โปรแกรมซ่อมแซมไม่ได้ คุณก็ต้องแก้ไขเอง ให้สังเกตข้อมูลต่อไปนี้[13]
    • ในหน้าต่าง Command Prompt ให้พิมพ์ findstr /c:"[SR]" %windir%\Logs\CBS\CBS.log >"%userprofile%\Desktop\sfcdetails.txt" แล้วกด  Enter
    • หา Sfcdetails.txt ในหน้า Desktop แล้วเปิดขึ้นมา
    • หารายงานของวันนี้ แล้วหาชื่อไฟล์ที่เสียหรือหายไป
  6. ตั้งชื่อภาพ Fix a Print Spooler Step 20
    6
    หาไฟล์ใหม่. หาไฟล์นี้ในคอมเครื่องอื่นที่ใช้ Windows เวอร์ชั่นเดียวกัน แล้วย้ายมาใส่เครื่องคุณ หรือดาวน์โหลดไฟล์ใหม่จากในเน็ตแทน ขอให้เลือกเว็บที่น่าเชื่อถือหน่อย
    • พอมีทาง extract หรือแตกไฟล์นี้มาจากแผ่นติดตั้ง Windows ได้เหมือนกัน[14]
  7. ตั้งชื่อภาพ Fix a Print Spooler Step 21
    7
    ติดตั้งไฟล์ใหม่. ให้แทนที่ไฟล์ที่เสียด้วยไฟล์ใหม่ดังนี้ [15]
    • ในหน้าต่าง Command Prompt ให้พิมพ์ takeown /f เว้นวรรค แล้วตามด้วย path และชื่อของไฟล์ที่เสียแบบเป๊ะๆ เช่น takeown /f C:\windows\system32\oldfile แล้วกด  Enter
    • ต่อมาให้พิมพ์คำสั่ง icacls (path to corrupt file) /grant administrators:F โดยเปลี่ยน "(path to corrupt file)" เป็น path กับชื่อไฟล์เดียวกับบรรทัดบน
    • ย้ายไฟล์ใหม่โดยพิมพ์ copy (path to new file) (path to corrupt file) โดยเปลี่ยนคำในวงเล็บเป็น path กับชื่อไฟล์ที่ถูกต้อง

เคล็ดลับ

  • Windows Server 2003 กับ Windows XP Professional x64 Edition บางทีก็มี bug ที่ทำให้คอมรับข้อมูลการพริ้นท์งานจากบางพรินเตอร์ไม่ได้ แบบนี้คุณต้องดาวน์โหลดไฟล์แก้จากเว็บช่วยเหลือของ Microsoft เอง[16]
  • เดี๋ยวนี้มีหลายโปรแกรมดาวน์โหลดมาแก้ไขปัญหา print spooler ได้อัตโนมัติ แต่ขอให้เลือกดาวน์โหลดไฟล์เฉพาะจากเว็บดังๆ ที่น่าเชื่อถือ ไม่งั้นคอมจะเสี่ยงติดไวรัสได้

ให้ MS-Word ช่วยเปลี่ยนเสียงเป็นข้อความ

  Microsoft word สามารถช่วยเปลี่ยนเสียงเป็นข้อความได้ ทำให้ช่วยลดเวลาในการฟังแล้วพิมพ์เป็นข้อความ ซึ่งมีวิธีการทำง่ายๆ เตรียมไฟล์เสียงที...