13 พฤศจิกายน 2568

วิธีตรวจสอบว่า HDD ของคุณเป็น SSD หรือไม่

 คุณสามารถตรวจสอบชนิดของฮาร์ดดิสก์ (HDD หรือ SSD) ในคอมพิวเตอร์ที่ใช้ Windows ได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องเปิดเครื่อง มี 2 วิธีหลักที่คุณสามารถทำได้:

1. ใช้เครื่องมือ "Optimize Drives" (Defragment and Optimize Drives)

วิธีนี้เป็นวิธีที่ง่ายและตรงไปตรงมาที่สุด:

  1. กดปุ่ม Windows Key + S หรือคลิกที่ช่องค้นหาบนแถบงาน (Taskbar)

  2. พิมพ์คำว่า optimize (หรือ "จัดเรียง" หากเป็นภาษาไทย)

  3. คลิกที่ผลการค้นหา Defragment and Optimize Drives (หรือ "จัดเรียงและปรับปรุงไดรฟ์") เพื่อเปิดหน้าต่างเครื่องมือ

  4. ในหน้าต่าง Optimize Drives ให้ดูที่คอลัมน์ Media Type (ประเภทสื่อ) คุณจะเห็นระบุว่าเป็น Solid state drive (สำหรับ SSD) หรือ Hard disk drive (สำหรับ HDD)

2. ใช้ Task Manager

วิธีนี้ก็รวดเร็วเช่นกัน:

  1. กดปุ่ม Ctrl + Shift + Esc เพื่อเปิด Task Manager โดยตรง (หรือคลิกขวาที่ Taskbar แล้วเลือก Task Manager)

  2. เลือกแท็บ Performance (ประสิทธิภาพ)

  3. ทางด้านซ้ายมือ คุณจะเห็นรายการฮาร์ดแวร์ เลื่อนหา Disk 0, Disk 1, หรือชื่อไดรฟ์อื่น ๆ

  4. ใต้ชื่อของฮาร์ดดิสก์แต่ละตัว จะมีระบุประเภทไว้ว่าเป็น HDD หรือ SSD


การทราบประเภทของฮาร์ดดิสก์มีความสำคัญ เพราะ SSD ให้ความเร็วในการอ่านและเขียนข้อมูลที่สูงกว่า HDD อย่างมาก ซึ่งส่งผลต่อความเร็วในการบูตเครื่องและการเปิดโปรแกรม


03 พฤศจิกายน 2568

EDR คืออะไร

 EDR ย่อมาจาก Endpoint Detection and Response (การตรวจจับและการตอบสนองปลายทาง) เป็นเทคโนโลยีความปลอดภัยไซเบอร์ที่สำคัญมากในปัจจุบันครับ

EDR เป็นโซลูชันที่ถูกออกแบบมาเพื่อ ยกระดับการป้องกันภัยคุกคาม บนอุปกรณ์ปลายทาง (Endpoint) ภายในองค์กรให้เหนือกว่าโปรแกรม Antivirus ทั่วไป

🎯 EDR คืออะไร?

EDR คือระบบที่ทำงานโดยการติดตั้งซอฟต์แวร์ขนาดเล็ก (Agent) บนอุปกรณ์ปลายทางทุกเครื่องที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายขององค์กร เช่น คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ โน้ตบุ๊ก เซิร์ฟเวอร์ และอุปกรณ์มือถือ

หน้าที่หลักของ EDR คือการ เฝ้าระวัง บันทึกกิจกรรม และ วิเคราะห์พฤติกรรม ที่เกิดขึ้นบนอุปกรณ์เหล่านั้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อตรวจจับภัยคุกคามที่ไม่รู้จักหรือไม่เคยพบมาก่อน (Zero-day attacks) ที่หลุดรอดจากแนวป้องกันชั้นแรกๆ เข้ามา

📝 หน้าที่หลัก 4 ประการของ EDR

หน้าที่คำอธิบาย
1. Detection (การตรวจจับ)ตรวจจับกิจกรรมที่น่าสงสัยและพฤติกรรมที่ผิดปกติแบบเรียลไทม์ เช่น การเปลี่ยนแปลง Registry ที่ไม่ได้รับอนุญาต, การเรียกใช้ Process ที่ซ่อนตัว, หรือการโจมตีแบบไร้ไฟล์ (Fileless Attacks) โดยใช้ Machine Learning และ Behavioral Analytics
2. Investigation (การตรวจสอบ)เก็บรวบรวมและบันทึกข้อมูลกิจกรรมทั้งหมดบน Endpoint ไว้ในฐานข้อมูลกลาง เพื่อให้นักวิเคราะห์ความปลอดภัยสามารถสืบสวนหาสาเหตุของการโจมตี (Root Cause Analysis) ได้อย่างละเอียด
3. Response (การตอบสนอง)เมื่อตรวจพบภัยคุกคาม EDR สามารถดำเนินการตอบสนองได้ทันที เช่น การกักกัน (Quarantine) ไฟล์ที่ติดเชื้อ, การหยุด (Terminate) Process ที่เป็นอันตราย, หรือ การตัดขาด (Isolate) อุปกรณ์ที่ถูกโจมตีออกจากเครือข่าย เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของมัลแวร์
4. Hunting (การล่าภัยคุกคาม)ช่วยให้นักวิเคราะห์ความปลอดภัยสามารถค้นหาและตรวจสอบภัยคุกคามที่อาจจะซ่อนตัวอยู่ในเครือข่ายแล้วแต่ยังไม่ถูกตรวจจับ (Proactive Threat Hunting) โดยการตั้งสมมติฐานและสืบค้นข้อมูลกิจกรรมย้อนหลัง

🆚 EDR ต่างจาก Antivirus (AV) อย่างไร?

คุณสมบัติAntivirus (AV) แบบดั้งเดิมEndpoint Detection and Response (EDR)
จุดเน้นหลักการป้องกันมัลแวร์ที่รู้จัก (Signature-based)การตรวจจับและตอบสนองต่อภัยคุกคาม ที่ไม่รู้จัก และการโจมตีขั้นสูง
การทำงานสแกนไฟล์ และบล็อกภัยคุกคามตามฐานข้อมูล (Signatures)เฝ้าระวังและบันทึกกิจกรรม ตลอดเวลาเพื่อวิเคราะห์พฤติกรรม
การตอบสนองลบหรือกักกันไฟล์ที่ตรวจพบกักกันอุปกรณ์, หยุด Process อันตราย, ให้เครื่องมือสืบสวน (Forensics)

20 ตุลาคม 2568

แชร์ printer windows 11 ping เจอ แต่สั่งพิมพ์ไม่ได้

 สำหรับปัญหาที่คอมพิวเตอร์สามารถ ping เครื่องพิมพ์ได้ แต่ไม่สามารถสั่งพิมพ์ได้บน Windows 11 อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ โดยส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นปัญหาที่การเชื่อมต่อเครือข่าย แต่เกี่ยวกับซอฟต์แวร์และการตั้งค่า 

สาเหตุหลักและวิธีแก้ไข
1. มีงานพิมพ์ค้างอยู่ในคิว (Print Spooler)
หากมีเอกสารค้างอยู่ในคิวงานพิมพ์ อาจทำให้การพิมพ์งานใหม่สะดุดได้ 
  • วิธีแก้:
    1. กดปุ่ม Windows + R เพื่อเปิดหน้าต่าง Run แล้วพิมพ์ services.msc จากนั้นกด Enter
    2. หาบริการที่ชื่อว่า "Print Spooler" แล้วคลิกขวาเลือก "Restart"
    3. หลังจากรีสตาร์ตแล้ว ให้ลองสั่งพิมพ์งานใหม่อีกครั้ง 
2. ไดรเวอร์เครื่องพิมพ์มีปัญหา
ไดรเวอร์เครื่องพิมพ์ที่ไม่สมบูรณ์, ล้าสมัย หรือไม่เข้ากันกับ Windows 11 อาจเป็นสาเหตุสำคัญ 
  • วิธีแก้:
    1. ถอนการติดตั้งไดรเวอร์เดิม: ไปที่ Settings > Bluetooth & devices > Printers & scanners แล้วเลือกเครื่องพิมพ์ที่มีปัญหา จากนั้นคลิก "Remove"
    2. ลบแพ็กเกจไดรเวอร์ทั้งหมด:
      • กดปุ่ม Windows + R พิมพ์ printmanagement.msc แล้วกด Enter
      • ไปที่ Print Servers > [ชื่อคอมพิวเตอร์ของคุณ] > Drivers
      • คลิกขวาที่ไดรเวอร์ของเครื่องพิมพ์ที่มีปัญหา แล้วเลือก "Remove Driver Package..."
    3. ติดตั้งไดรเวอร์ใหม่: ไปที่เว็บไซต์ของผู้ผลิตเครื่องพิมพ์โดยตรง และดาวน์โหลดไดรเวอร์ล่าสุดสำหรับ Windows 11 มาติดตั้ง 
3. การตั้งค่าเครือข่ายและระบบรักษาความปลอดภัย
ระบบรักษาความปลอดภัยของ Windows 11 หรือซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสอาจบล็อกการเชื่อมต่อกับเครื่องพิมพ์ที่แชร์อยู่ 
  • วิธีแก้:
    1. ตรวจสอบการตั้งค่าการแชร์:
      • ไปที่ Control Panel > Network and Sharing Center > Advanced sharing settings
      • เปิดการตั้งค่า "Turn on network discovery" และ "Turn on file and printer sharing"
    2. ปิดไฟร์วอลล์ชั่วคราว: ทดลองปิด Windows Defender Firewall และโปรแกรมแอนติไวรัสชั่วคราว เพื่อดูว่าการพิมพ์กลับมาใช้งานได้หรือไม่
    3. เปิดใช้งาน SMB 1.0: ในบางกรณี การแชร์เครื่องพิมพ์กับอุปกรณ์รุ่นเก่าอาจต้องเปิดใช้งานคุณสมบัติ SMB 1.0
      • ไปที่ Control Panel > Programs > Turn Windows features on or off
      • เลือก "SMB 1.0/CIFS File Sharing Support" แล้วกด OK 
4. ปัญหาเกี่ยวกับพอร์ตและการตั้งค่า SNMP
หากเครื่องพิมพ์ของคุณใช้พอร์ต TCP/IP อาจมีปัญหากับการตั้งค่าบางอย่างได้ 
  • วิธีแก้:
    1. ไปที่ Control Panel > Devices and Printers แล้วคลิกขวาที่เครื่องพิมพ์ของคุณ เลือก "Printer properties"
    2. ไปที่แท็บ "Ports" แล้วเลือกพอร์ตที่ใช้งานอยู่
    3. คลิก "Configure Port..." แล้วลองยกเลิกการเลือก "SNMP Status Enabled" จากนั้นคลิก OK 
5. เพิ่มเครื่องพิมพ์ด้วยตนเอง
หากยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ให้ลองเพิ่มเครื่องพิมพ์ด้วยวิธีแมนนวลโดยใช้ที่อยู่ IP โดยตรง 
  • วิธีแก้:
    1. ไปที่ Settings > Bluetooth & devices > Printers & scanners
    2. คลิก "Add device" แล้วเลือก "The printer that I want isn't listed"
    3. เลือก "Add a printer using a TCP/IP address or hostname" และใส่ที่อยู่ IP ของเครื่องพิมพ์ จากนั้นทำตามขั้นตอนที่เหลือ 

03 ตุลาคม 2568

สร้างลายเซ็นด้วย Photoroom

 เครื่องมือสร้างลายเซ็น   ถ่ายภาพลายเซ็นของคุณและลบพื้นหลังออก

เครื่องมือสร้างลายเซ็นออนไลน์ - เครื่องมือสร้างลายเซ็นฟรี | Photoroom

https://www.photoroom.com/th/tools/signature-maker

ขั้นตอนมีดังนี้

ขั้นแรก เขียนลายเซ็นลงบนกระดาษแล้วถ่ายรูป อัปโหลดรูปภาพนี้ซึ่งพื้นหลังจะถูกลบออกโดยอัตโนมัติ และลายเซ็นของคุณก็จะมีพื้นหลังโปร่งใสพร้อมใช้งาน

สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด

คุณเพียงแค่ดาวน์โหลดลายเซ็นเป็นไฟล์นามสกุล .png หรือ .jpg จากนั้นอัปโหลดหรือลากและวางลงใน Microsoft Word, Google Docs หรือเครื่องมืออื่นใดที่คุณใช้งานอยู่

ได้เลย

วิธีแสดงไอคอน "This PC" ใน Windows 11

 วิธีแสดงไอคอน "This PC" หรือ "My Computer" ใน Windows 11 ทำได้โดย คลิกขวาที่พื้นที่ว่าง        บนเดสก์ท็อป > เลือก Personalize (ปรับเปลี่ยนตามชอบ) > เลือก Themes (ธีม) > เลือก Desktop icon settings (ตั้งค่าไอคอนเดสก์ท็อป) > ติ๊กถูกที่ช่อง Computer > Apply (นำไปใช้) และ OK (ตกลง). 

ขั้นตอนการแสดงไอคอน "This PC" (My Computer) ใน Windows 11
  1. คลิกขวาที่พื้นที่ว่างบนหน้าจอเดสก์ท็อปของคุณ. 
  2. จากเมนูที่ปรากฏขึ้น ให้เลือก Personalize (ปรับเปลี่ยนตามชอบ). 
  3. ในหน้าต่างการตั้งค่า ให้เลือก Themes (ธีม) ที่เมนูด้านซ้าย. 
  4. เลื่อนไปทางด้านขวา และเลือก Desktop icon settings (ตั้งค่าไอคอนเดสก์ท็อป). 
  5. ในหน้าต่าง Desktop icon settings ให้ ติ๊กเครื่องหมายถูกที่ช่อง Computer. 
  6. คลิก Apply (นำไปใช้) และตามด้วย OK (ตกลง) เพื่อยืนยันการเปลี่ยนแปลง. 

05 กันยายน 2568

 

Windows 10 – วิธีถอนตัว Update

Windows 10 เป็นระบบปฎิบัติการที่ถูกพัฒนาอยู่ตลอดเวลา และเรามักจะพบปัญหากับมันบ่อย ๆ เสียด้วย โดยเฉพาะเหล่าเกมเมอร์ที่จะต้องเสี่ยงดวงกับการอัพเดตใหม่ทุกครั้ง ว่ามันจะมาทำลายประสิทธิภาพของเกมที่พวกเขาเล่นหรือไม่ อย่างที่เกิดขึ้นในอดีตที่ผ่านมา โดยเฉพาะตัวอัพเดต KB4487044 ในปัจจุบัน ในขณะที่ไม่มีวิธีแก้ที่ได้ผล ทางออกที่ดีสุดคือการถอนการติดตั้งมันออกไปซะ และมันต้องทำอย่างไรวันนี้เราจะพาไปดูขั้นตอนการถอน Windows Update ออกจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ

1.ให้กดปุ่ม Start และพิมพ์คำว่า “Windows Update Setting” ในช่องค้นหา

win update วิธีลบ

2.เลือกที่เมนู “View update history”

3.หลังจากนั้นให้เข้าไปที่เมนูถอนการติดตั้ง “Uninstall updates”

4.หน้าต่างจะแสดงการอัพเดตทั้งหมด โดยตัวอัพเดตของวินโดวจะขึ้นต้นด้วย “Update for…” เลือกตัวที่จะถอนการติดตั้ง และกดที่ “Uninstall”

5.หลังจากถอนการติดตั้งเสร็จคอมพิวเตอร์จะรีสตาร์ทตัวเอง เมื่อเปิดขึ้นมาอีกครั้งจะถือว่าถอนการติดตั้งเสร็จอย่างสมบูรณ์ เท่านี้ปัญหาจาก Update ตัวดังกล่าวก็จะหมดไป หรือจนกว่าจะมีตัวอัพเดตใหม่เข้ามาแทนที่ ผู้ใช้ค่อยทำการดาวโหลดมาติดตั้งใหม่ในอนาคต

คำแนะนำ หากเพื่อน ๆ อยากทราบข้อมูลเพิ่มต่อหรือคุยเรื่องปัญหาที่เกิดขึ้นสามารถเข้าไปดูได้ที่ Windows Community เป็นแหล่งพูดคุยของผู้พัฒนาและผู้ใช้งานที่ใหญ่สุดของ Windows

สำหรับใครที่ไม่อยากต้องมานั่งถอนตัวติดตั้ง Update บ่อย ๆ เราก็มี วิธีจะปิด Windows 10 Update แบบถาวร ทำครั้งเดียวจบไม่ต้องวนกลับมาทำซ้ำให้วุ่นวาย!

วิธีตรวจสอบว่า HDD ของคุณเป็น SSD หรือไม่

 คุณสามารถตรวจสอบชนิดของฮาร์ดดิสก์ (HDD หรือ SSD) ในคอมพิวเตอร์ที่ใช้ Windows ได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องเปิดเครื่อง มี 2 วิธีหลักที่คุณสามาร...