03 ตุลาคม 2568

สร้างลายเซ็นด้วย Photoroom

 เครื่องมือสร้างลายเซ็น   ถ่ายภาพลายเซ็นของคุณและลบพื้นหลังออก

เครื่องมือสร้างลายเซ็นออนไลน์ - เครื่องมือสร้างลายเซ็นฟรี | Photoroom

https://www.photoroom.com/th/tools/signature-maker

ขั้นตอนมีดังนี้

ขั้นแรก เขียนลายเซ็นลงบนกระดาษแล้วถ่ายรูป อัปโหลดรูปภาพนี้ซึ่งพื้นหลังจะถูกลบออกโดยอัตโนมัติ และลายเซ็นของคุณก็จะมีพื้นหลังโปร่งใสพร้อมใช้งาน

สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด

คุณเพียงแค่ดาวน์โหลดลายเซ็นเป็นไฟล์นามสกุล .png หรือ .jpg จากนั้นอัปโหลดหรือลากและวางลงใน Microsoft Word, Google Docs หรือเครื่องมืออื่นใดที่คุณใช้งานอยู่

ได้เลย

วิธีแสดงไอคอน "This PC" ใน Windows 11

 วิธีแสดงไอคอน "This PC" หรือ "My Computer" ใน Windows 11 ทำได้โดย คลิกขวาที่พื้นที่ว่าง        บนเดสก์ท็อป > เลือก Personalize (ปรับเปลี่ยนตามชอบ) > เลือก Themes (ธีม) > เลือก Desktop icon settings (ตั้งค่าไอคอนเดสก์ท็อป) > ติ๊กถูกที่ช่อง Computer > Apply (นำไปใช้) และ OK (ตกลง). 

ขั้นตอนการแสดงไอคอน "This PC" (My Computer) ใน Windows 11
  1. คลิกขวาที่พื้นที่ว่างบนหน้าจอเดสก์ท็อปของคุณ. 
  2. จากเมนูที่ปรากฏขึ้น ให้เลือก Personalize (ปรับเปลี่ยนตามชอบ). 
  3. ในหน้าต่างการตั้งค่า ให้เลือก Themes (ธีม) ที่เมนูด้านซ้าย. 
  4. เลื่อนไปทางด้านขวา และเลือก Desktop icon settings (ตั้งค่าไอคอนเดสก์ท็อป). 
  5. ในหน้าต่าง Desktop icon settings ให้ ติ๊กเครื่องหมายถูกที่ช่อง Computer. 
  6. คลิก Apply (นำไปใช้) และตามด้วย OK (ตกลง) เพื่อยืนยันการเปลี่ยนแปลง. 

05 กันยายน 2568

 

Windows 10 – วิธีถอนตัว Update

Windows 10 เป็นระบบปฎิบัติการที่ถูกพัฒนาอยู่ตลอดเวลา และเรามักจะพบปัญหากับมันบ่อย ๆ เสียด้วย โดยเฉพาะเหล่าเกมเมอร์ที่จะต้องเสี่ยงดวงกับการอัพเดตใหม่ทุกครั้ง ว่ามันจะมาทำลายประสิทธิภาพของเกมที่พวกเขาเล่นหรือไม่ อย่างที่เกิดขึ้นในอดีตที่ผ่านมา โดยเฉพาะตัวอัพเดต KB4487044 ในปัจจุบัน ในขณะที่ไม่มีวิธีแก้ที่ได้ผล ทางออกที่ดีสุดคือการถอนการติดตั้งมันออกไปซะ และมันต้องทำอย่างไรวันนี้เราจะพาไปดูขั้นตอนการถอน Windows Update ออกจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ

1.ให้กดปุ่ม Start และพิมพ์คำว่า “Windows Update Setting” ในช่องค้นหา

win update วิธีลบ

2.เลือกที่เมนู “View update history”

3.หลังจากนั้นให้เข้าไปที่เมนูถอนการติดตั้ง “Uninstall updates”

4.หน้าต่างจะแสดงการอัพเดตทั้งหมด โดยตัวอัพเดตของวินโดวจะขึ้นต้นด้วย “Update for…” เลือกตัวที่จะถอนการติดตั้ง และกดที่ “Uninstall”

5.หลังจากถอนการติดตั้งเสร็จคอมพิวเตอร์จะรีสตาร์ทตัวเอง เมื่อเปิดขึ้นมาอีกครั้งจะถือว่าถอนการติดตั้งเสร็จอย่างสมบูรณ์ เท่านี้ปัญหาจาก Update ตัวดังกล่าวก็จะหมดไป หรือจนกว่าจะมีตัวอัพเดตใหม่เข้ามาแทนที่ ผู้ใช้ค่อยทำการดาวโหลดมาติดตั้งใหม่ในอนาคต

คำแนะนำ หากเพื่อน ๆ อยากทราบข้อมูลเพิ่มต่อหรือคุยเรื่องปัญหาที่เกิดขึ้นสามารถเข้าไปดูได้ที่ Windows Community เป็นแหล่งพูดคุยของผู้พัฒนาและผู้ใช้งานที่ใหญ่สุดของ Windows

สำหรับใครที่ไม่อยากต้องมานั่งถอนตัวติดตั้ง Update บ่อย ๆ เราก็มี วิธีจะปิด Windows 10 Update แบบถาวร ทำครั้งเดียวจบไม่ต้องวนกลับมาทำซ้ำให้วุ่นวาย!

คอมในวง LAN เดียวกัน มองไม่เห็นกัน

 เหตุผลหลักที่คอมพิวเตอร์ในวง LAN เดียวกันมองเห็นกันไม่ครบทุกเครื่องมักเกิดจากปัญหาเกี่ยวกับ การกำหนดค่าเครือข่าย และ การตั้งค่าความปลอดภัย เป็นหลัก


สาเหตุที่พบบ่อย

  • Firewall หรือโปรแกรม Antivirus บล็อกการเชื่อมต่อ: Firewall ที่ติดตั้งในเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องอาจจะตั้งค่าไว้ให้ป้องกันการเชื่อมต่อหรือการค้นหาจากเครือข่ายภายนอก ทำให้เครื่องอื่นๆ มองไม่เห็น ซึ่งเป็นมาตรการรักษาความปลอดภัยปกติ

  • Workgroup หรือ Homegroup ที่ไม่ตรงกัน: หากคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องถูกตั้งค่าให้อยู่ในกลุ่มทำงาน (Workgroup) หรือกลุ่มหลัก (Homegroup) ที่มีชื่อแตกต่างกัน คอมพิวเตอร์เหล่านั้นจะไม่สามารถมองเห็นหรือแชร์ไฟล์ระหว่างกันได้

  • ปัญหาการตั้งค่า IP Address:

    • IP Address ไม่ได้อยู่ใน Subnet เดียวกัน: คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องต้องมี IP Address ที่อยู่ในช่วง Subnet เดียวกัน เช่น ถ้าเครื่องหนึ่งมี IP เป็น 192.168.1.10 อีกเครื่องก็ต้องเป็น 192.168.1.XX ถึงจะสื่อสารกันได้

    • IP Address ซ้ำกัน: หากมีคอมพิวเตอร์สองเครื่องหรือมากกว่ามี IP Address เดียวกัน จะทำให้เกิดความขัดแย้ง (IP conflict) และไม่สามารถเชื่อมต่อในเครือข่ายได้อย่างถูกต้อง

  • Network Discovery ถูกปิดการใช้งาน: ระบบปฏิบัติการ Windows มีคุณสมบัติที่เรียกว่า Network Discovery (การค้นหาเครือข่าย) ซึ่งถ้าถูกปิดอยู่ เครื่องนั้นๆ จะไม่สามารถถูกค้นพบโดยเครื่องอื่นๆ ในเครือข่ายเดียวกันได้

  • Driver ของการ์ด LAN มีปัญหา: Driver ที่เก่าหรือเสียหายอาจทำให้การ์ดเครือข่ายทำงานได้ไม่เต็มที่ ทำให้การเชื่อมต่อไม่เสถียรหรือมองไม่เห็นเครื่องอื่น


แนวทางการแก้ไขเบื้องต้น

  1. ตรวจสอบ Firewall: ลองปิด Firewall ชั่วคราวบนเครื่องที่มองไม่เห็นเพื่อทดสอบ ถ้ามองเห็นกันได้ แสดงว่าปัญหามาจาก Firewall และต้องเข้าไปตั้งค่าอนุญาต (allow) ให้การเชื่อมต่อในเครือข่าย

  2. ตรวจสอบและตั้งค่า Workgroup ให้ตรงกัน: เข้าไปที่ System Properties เพื่อตรวจสอบและเปลี่ยนชื่อ Workgroup ของทุกเครื่องให้เหมือนกัน

  3. ตั้งค่า Network Discovery และ File Sharing: ไปที่ Network and Sharing Center ใน Windows และเปิดการใช้งาน Network Discovery และ File and printer sharing ให้เป็น On

  4. ตรวจสอบ IP Address: ใช้คำสั่ง ipconfig ใน Command Prompt เพื่อตรวจสอบ IP Address และ Subnet ของแต่ละเครื่องว่าอยู่ในช่วงเดียวกันหรือไม่

  5. อัปเดต Driver การ์ด LAN: ลองดาวน์โหลดและติดตั้ง Driver ล่าสุดของการ์ดเครือข่ายจากเว็บไซต์ของผู้ผลิต

หากลองแก้ไขตามขั้นตอนเบื้องต้นแล้วยังไม่สำเร็จ อาจต้องพิจารณาปัจจัยอื่นๆ เช่น ปัญหาที่ Hardware (สาย LAN, Switch Hub) หรือการตั้งค่าขั้นสูงใน Router ครับ

22 มีนาคม 2567

ให้ MS-Word ช่วยเปลี่ยนเสียงเป็นข้อความ

 Microsoft word สามารถช่วยเปลี่ยนเสียงเป็นข้อความได้ ทำให้ช่วยลดเวลาในการฟังแล้วพิมพ์เป็นข้อความ ซึ่งมีวิธีการทำง่ายๆ

  • เตรียมไฟล์เสียงที่ต้องการแปลงเป็นข้อความ
  • เปิด MicroSoft word
  • ไปที่ Ribbon Home จะเจอสัญลักษณ์รูป ไมค์ ดังภาพ ให้เลือ Transcribe


  • จะปรากฏคำสั่ง Transcribe ซึ่งสามารถเลือก upload ไฟล์ เสียง หรือ กดปุ่ม Start recoding เพื่อแปลงเสียงเป็นข้อความทันที่ (หากใช้ตัวเลือกนี้ขึ้นอยู่กับสภาแวดล้อม และคอมพิวเตอร์เครื่องที่จะแปลงด้วย)


  • เลือกไฟล์เสียงที่ต้องการ upload


  • โปรแกรมจะไปวิเคราะห์ช่วงเวลา และแปลงเสียงเป็นข้อความให้ หากต้องการแค่ช่วงเวลาไหนก็ให้คลิกที่เครื่องหมาย + และคลิกปุ่ม Add Section to Document ข้อความก็จะไปปรากฎให้เอกสารทันที

หรือหากต้องการทั้งหมด ก็จะมีตัวเลือกให้อีก 4 ตัวเลือก โดยต้องคลิกปุ่ม Add to Document

จะมีคำสั่งย่อยอีก 4 คำสั่งดังต่อไปนี้

  1. Just text
  2. With speakers
  3. With timestamps
  4. With speakers and timestamps

โดยได้ยกตัวอย่างการแสดงผลแต่ละแบบดังนี้

  • เลือก Just Text ระบบจากนำข้อความที่ได้ พิมพ์ลงในเอกสาร word ทันที


  • With Speakers คือ แสดงลำดับ Speakers แต่ละช่วงของข้อความ


  • With timestamps คือ แสดงเวลาที่พูดพร้อมกับข้อความ


With speakers and timestamps แสดงลำดับ Speakers และเวลาที่พูดพร้อมกับข้อความ


อย่างไรลองทดสอบใช้งานกันดูนะครับ เพื่อช่วยลดเวลาในการฟังแล้วพิมพ์ หรือหากต้องการแค่ช่วงไหนก็เลือกช่วงเวลาที่ต้องการได้เลย

 

21 มีนาคม 2567

CPU แบบ Core Intel

 CPU แบบ Intel Core i3, i5, i7, i9 และ X คืออะไร ?

และ มีเทคโนโลยี ที่แตกต่างกันอย่างไร ?

หน่วยประมวลผลกลาง หรือ ซีพียู (CPU) นั้นก็เปรียบเสมือนกับมันสมองของเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งค่ายที่คนนิยมเลือกใช้กันก็มี อินเทล (Intel) กับ เอเอ็มดี (AMD) ซึ่งในบทความนี้เราจะมาพูดถึงการเลือก CPU จากค่าย Intel กันเป็นหลัก

บทความเกี่ยวกับ Intel Core อื่นๆ

โดยทาง Intel ได้แบ่งระดับของ CPU ออกเป็นหลายรุ่น หลายระดับ ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์มือใหม่อาจจะเกิดความสับสนว่ามันต่างกันอย่างไร ? แล้วควรจะเลือกใช้งานรุ่นไหนดี

และแน่นอนว่าของเกือบทุกอย่างบนโลกใบนี้ "ของแพงกว่าก็ย่อมจะดีกว่าอยู่แล้ว" แต่ว่าในความเป็นจริงแล้ว เราไม่จำเป็นต้องซื้อ CPU ที่แพงที่สุดมาใช้งานเสมอไป มันขึ้นอยู่กับว่า คุณต้องการใช้งานคอมพิวเตอร์ในลักษณะไหนมากกว่า หากคุณซื้อ CPU รุ่นแพงสุดมาใช้งานแค่เล่น Facebook, แชท LINE ฯลฯ มันก็จะดูไม่คุ้มค่า แต่ในทางกลับกันถ้าซื้อ CPU รุ่นถูกสุดมา แต่หวังเอามาทำงานตัดต่องานออกแบบ 3 มิติ (3D Design) ก็คงจะไม่ต่างอะไรกับการเอารถอีโคคาร์ มาขนสุกร

บทความนี้ก็เลยจะมาแนะนำคุณสมบัติ CPU ของ Intel ว่าแต่ละรุ่นเหมาะสมกับพฤติกรรมการใช้งานในรูปแบบไหน โดยในบทความนี้จะขออนุญาตกล่าวถึงเฉพาะ CPU สำหรับคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปเป็นหลักนะครับ

เนื้อหาภายในบทความ

อธิบายระดับ CPU ของ Intel Core แบบต่างๆ

ถ้าถามว่า CPU แบบ Core i3, Core i5, Core i7, Core i9 และ Core X มันต่างกันตรงไหน คำตอบที่เรียบง่าย แต่ชัดเจนที่สุด คือ "จำนวนคอร์ (Core Number)" ที่มีอยู่ในตัว CPU ครับ คอร์แต่ละตัว จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผล นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมมันถึงมีสิ่งที่เรียกว่า Dual-Core, Quad-Core หรือ Octa-Core 

ซึ่งเดิมที Intel แบ่ง CPU ออกมาแค่ 3 ระดับ คือ Intel Core i3 เป็นรุ่นประหยัด, Intel Core i5 เป็นรุ่นกลาง และ Intel Core i7 เป็นรุ่นระดับสูง แต่ปัจจุบันได้ซอยย่อยเยอะกว่าเดิมแล้ว อ้างอิงจากข้อมูลในปัจจุบัน (ปี ค.ศ. 2021 หรือ พ.ศ. 2564) จะแบ่งระดับออกได้ ดังต่อไปนี้

  • Core i3 (4 Cores / 8 Threads) : เป็น CPU รุ่นเริ่มต้น ที่มีราคาถูกที่สุด เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไป เช่น ทำงานออฟฟิศ, เล่นอินเทอร์เน็ต หรือเล่นเกมที่กราฟิกไม่ได้อลังการมากนัก
  • Core i5 (6 Cores / 12 Threads) : เป็น CPU ระดับกลาง ที่มีประสิทธิภาพเพียงพอต่อการทำงาน และเล่นเกมได้เกือบทุกประเภทที่ความละเอียด Full HD (1080p) แต่ไม่แรงพอที่จะทำงานที่ใช้ซอฟต์แวร์ที่กินทรัพยากรสูง หรือเล่นเกมที่ความละเอียดสูงได้
  • Core i7 (8 Cores /16 Threads) : เป็น CPU ระดับสูง สามารถทำงานด้านกราฟิกอย่างการตัดต่อวีดีโอ หรือเล่นเกมส์คุณภาพสูงที่ความละเอียดระดับ 4K ได้อย่างลื่นไหล
  • Core i9 (8 Cores / 16 Threads) : สำหรับ CPU ตระกูลนี้ เพิ่งมาในเมื่อไม่กี่ปีนี้เอง โดยเปิดตัวครั้งแรกในปี ค.ศ. 2017 (พ.ศ. 2560) ถ้าคิดว่า Core i7 ยังแรงไม่พอ ก็สามารถเลือกใช้งาน Core i9 ได้ แม้จะมี 8 คอร์/16 เธรด เท่ากัน แต่ความเร็วสัญญาณนาฬิกาของ CPU จะเร็วกว่า
  • Core X : สำหรับ CPU รุ่นนี้ ทาง Intel วางกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ใช้งานระดับสูง ที่ต้องการความแรงระดับสูงสุด โดยไม่เกี่ยงราคา ปัจจุบันนี้ รุ่นมีอยู่คือ
    • 10 Cores / 20 Threads
    • 12 Cores / 24 Threads
    • 14 Cores / 28 Threads
    • 18 Cores / 36 Threads

หมายเหตุ : ตอนที่เปิดตัวครั้งแรก Core X ใช้ชื่อว่า Core i9 แต่ก็ ไม่ใช่ว่า Core i9 ทุกรุ่นจะเป็น Core X ซึ่งในปัจจุบันนี้ Core i9 ก็ได้รวมอยู่ใน CPU สำหรับกลุ่มลูกค้าหลักรวมกับพวก i3, i5 และ i7 แล้ว

 

 ตัวเลขหลังชื่อ CPU ของ Intel หมายถึงอะไร ?

เรารู้จักกับระดับของ CPU กันไปแล้ว ต่อมามาเรียนรู้ข้อมูลของชุดตัวเลขที่อยู่ตามหลังชื่อของ CPU กันต่อเลยดีกว่า

หลังชื่อ CPU ที่เราเห็นของพวก Core i3, Core i5 ฯลฯ จะมีชุดตัวเลขตามหลังห้อยท้ายมาด้วย เป็นการบอกว่าเป็น CPU รุ่นดังกล่าวเป็นเจนเนอเรชั่นไหน อย่างในภาพด้านล่างนี้ Core i9-11900 ค่าตัวเลข 11 หมายความว่ามันเป็น CPU เจนเนอเรชั่น 11 ส่วนตัวเลข 900 จะบอกถึง SKU ของสินค้า (SKU ย่อมาจาก Stock Keeping Unit เป็นหน่วยที่ใช้จำแนกความแตกต่างของสินค้า)



ภาพจาก https://www.thailand.intel.com/content/www/th/th/products/details/processors/core/i9.html

 ตัวอักษรหลังชื่อ CPU ของ Intel หมายถึงอะไร ?

นอกจากชื่อรุ่น และหมายเลขแล้ว เราจะสังเกตเห็นว่าท้ายสุดยังจะมีตัวอักษรต่อท้ายตามมาอีก พวกนี้เป็นตัวอักษรต่อท้าย (Suffixes) ที่ช่วยบอกคุณลักษณะของ CPU นะครับ โดยจะมีรายละเอียดดังนี้

ตัวอักษรต่อท้าย

ความหมาย

 B (B = Ball Grid Array (BGA))

 เป็น CPU แบบถาด ไม่มีพัดลม, ฮีทซิงก์ ให้มาด้วย (ต้องซื้อเอง)

 G1-G7 (Graphics level)

 ระดับคุณภาพของกราฟิก (เฉพาะ CPU รุ่นใหม่ที่มีการ์ดจอในตัว)

 E (Embedded)

 แบบฝัง

 F

 จำเป็นต้องมีการ์ดจอแยก เพื่อให้ทำงานได้

 G

 มีการ์ดจอในตัว

 GRE

 มีคุณสมบัติ Intel Time Coordinated Computing (Intel TCC) และ Time-Sensitive Networking (TSN) ฝังไว้ในตัว

 H (High performance)

 ประสิทธิภาพสูง และปรับแต่งให้เหมาะสมกับอุปกรณ์พกพา

 HK

 ประสิทธิภาพสูง และปรับแต่งให้เหมาะสมกับอุปกรณ์พกพา,
 
สามารถ Overclock ได้

 HQ (High performance, Quad core)

 ประสิทธิภาพสูง และปรับแต่งให้เหมาะสมกับอุปกรณ์พกพา,
 
มี 4 คอร์

 K (Unlocked)

 สามารถ Overclock ได้

 KF

 สามารถ Overclock ได้, จำเป็นต้องมีการ์ดจอแยก เพื่อให้ทำงานได้

 S (Special edition)

 รุ่นพิเศษ

 T

 ปรับแต่งการใช้พลังงานให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์

 U

 ปรับแต่งการใช้พลังงานให้เหมาะสมกับอุปกรณ์พกพา

 Y

 เน้นการประหยัดพลังงานสูงสุดสำหรับอุปกรณ์พกพา

 

เทคโนโลยี Hyper-Threading หรือ HT คืออะไร ?

หนึ่งในจุดขายของ CPU จาก Intel คือเทคโนโลยี Hyper-Threading (ปัจจุบันนี้ AMD ก็มีแล้วนะ ใช้ชื่อว่า Simultaneous MultiThreading หรือ SMT) ความสามารถของมัน คือ การทำให้ตัวประมวลผล 1 คอร์ จำลองตัวเองให้ทำงานเหมือน 2 คอร์ได้ ซึ่งจะช่วยให้การประมวลผลงานต่างๆ ทำได้เร็วขึ้น

อย่างไรก็ตาม มีเรื่องที่ต้องจำไว้ด้วยนิดนึง คือ Core แท้ ๆ นั้นทำงานได้เร็วกว่า Core ที่จำลอง ขึ้นมา เช่น CPU แบบ 4 Cores แท้ ๆ นั้นจะทำงานได้เร็วกว่า CPU แบบ 2 Cores ที่รองรับ Hyper-Threading 

ทั้งนี้ คุณสมบัติ Hyper-Threading ไม่ได้มีทุกรุ่นนะครับ จำเป็นต้องดูเป็นรุ่น ๆ ไป ว่ามี SKU ไหนที่รองรับบ้าง


 

เทคโนโลยี Turbo Boost คืออะไร ?

เบื้องหลังการทำงานของเทคโนโลยีนี้ค่อนข้างซับซ้อนซึ่งเราไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้ รู้แค่ว่ามันเร็วได้เท่าไหร่ก็พอ เวลาเราดูสเปก CPU เราจะเห็นว่ามีค่าความเร็วอยู่ 2 ค่า คือ Processor Base Frequency (ความเร็วพื้นฐาน) และ Max Turbo Frequency (ความเร็วสูงสุด) ซึ่งค่า Processor Base Frequency จะต่ำกว่าค่า Max Turbo Frequency อยู่เสมอ

ในการใช้งานปกติ CPU มักจะวิ่งอยู่ที่ความเร็วของ Processor Base Frequency แต่หากเรามีการใช้งานที่ต้องการความเร็วสูง มันสามารถปิดการทำงานในบางส่วนของคอร์อื่นๆ เพื่อเร่งความเร็วให้คอร์หลักที่ใช้ทำงานได้เพื่อให้ได้ความเร็วที่เป็น Max Turbo Frequency นั่นเอง


ภาพจาก https://www.intel.com/content/www/us/en/products/details/processors/core/x.html

 แคช (Cache) ใน CPU ก็สำคัญนะ

นอกเหนือไปจาก Hyper-Threading และ Turbo Boost แล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ Core i แต่ละรุ่นมีความแตกต่างกันก็คือ ขนาดของ Cache ซึ่งเป็นเสมือนพื้นที่แรมส่วนตัวของ CPU แน่นอนว่า Cache ยิ่งเยอะยิ่งดี อย่าง Core i9 เจนฯ 11 มี Cache ถึง 24 MB เลยทีเดียว ในขณะที่ Core i3 เจนฯ 11 มี Cache เริ่มต้นเพียง 6 MB เท่านั้น

 

สร้างลายเซ็นด้วย Photoroom

  เครื่องมือสร้างลายเซ็น    ถ่ายภาพลายเซ็นของคุณและลบพื้นหลังออก เครื่องมือสร้างลายเซ็นออนไลน์ - เครื่องมือสร้างลายเซ็นฟรี | Photoroom https...